
กู้ร่วมซื้อบ้าน” คืออะไร? ใช้เมื่อไหร่
กู้ร่วมซื้อบ้านคืออะไร
การ กู้ร่วม (Co-Borrowing หรือ Joint Loan) คือ การยื่นขอสินเชื่อร่วมกับบุคคลอื่น เช่น คู่สมรส พ่อแม่ พี่น้อง หรือผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เพื่อร่วมกันผ่อนชำระค่าบ้าน โดยทั้งสองฝ่ายจะมีสถานะเป็นผู้กู้หลักร่วมกัน ไม่ใช่ผู้ค้ำประกัน และต้องรับผิดชอบต่อภาระหนี้สินเต็มจำนวนเท่ากัน ลักษณะเด่นของการกู้ร่วมคือ ผู้กู้ทั้งสองมีสิทธิ์ในทรัพย์สินร่วมกัน (ตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้) และมีความรับผิดชอบร่วมกันในสัญญากู้ยืม ซึ่งแตกต่างจากการค้ำประกันที่ผู้ค้ำจะรับผิดเมื่อผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้เท่านั้น
การกู้ร่วมมักเกิดขึ้นในกรณีที่
– รายได้ของผู้กู้หลักไม่เพียงพอต่อวงเงินที่ต้องการ
– ต้องการเพิ่มโอกาสให้ธนาคารอนุมัติวงเงินสูงขึ้น
– วางแผนซื้อบ้านในราคาสูง หรือซื้อบ้านร่วมกันกับคู่สมรส
– ต้องการสร้างเครดิตร่วมกันเพื่อใช้ในอนาคต

ทำไมหลายคนเลือกใช้การกู้ร่วม
– เพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระ รายได้รวมของผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมสามารถทำให้ธนาคารคำนวณวงเงินกู้ได้สูงขึ้น เช่น จากเดิมที่กู้ได้ไม่เกิน 2 ล้านบาท อาจขยับเป็น 3–4 ล้านบาท หากมีรายได้รวมที่มากพอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาระหนี้อยู่แล้ว ในกรณีที่ผู้กู้คนใดคนหนึ่งมีหนี้บัตรเครดิต หรือผ่อนรถยนต์อยู่ การกู้ร่วมจะช่วยให้รายได้สุทธิหลังหักภาระหนี้ยังคงเพียงพอสำหรับกู้ซื้อบ้าน
– ช่วยสร้างความมั่นคงในครอบครัว การกู้ร่วมกับคู่ชีวิตทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความรับผิดชอบและสิทธิในทรัพย์สินร่วมกัน โดยเฉพาะเมื่อวางแผนสร้างครอบครัวหรือลงทุนร่วมในระยะยาว
เป็นทางออกสำหรับคนรายได้ไม่ถึงเกณฑ์กู้คนเดียว
– เช่น กลุ่ม First Jobber ที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือฟรีแลนซ์ที่รายได้ยังไม่แน่นอน การมีผู้กู้ร่วมที่มีรายได้มั่นคงจะช่วยเพิ่มโอกาสอนุมัติสินเชื่อ
ข้อดีของการกู้ร่วมซื้อบ้าน
☑️ ได้วงเงินสูงขึ้น การรวมรายได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการกู้สูงขึ้นกว่าการกู้คนเดียว
☑️ มีโอกาสได้รับการอนุมัติสูงกว่า หากผู้กู้ร่วมมีเครดิตดี ไม่มีหนี้เสีย และมีรายได้มั่นคง
☑️ แบ่งเบาภาระการผ่อน สามารถแบ่งจ่ายกันตามตกลง ช่วยลดภาระในแต่ละเดือน
☑️ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีทั้งคู่ หากเป็นเจ้าของร่วมและชำระดอกเบี้ยร่วมกัน ทั้งสองสามารถใช้สิทธิลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ได้คนละไม่เกิน 100,000 บาท (ตามเกณฑ์ปีภาษีนั้นๆ)
ข้อเสียและสิ่งที่ควรระวัง
❌ ภาระผูกพันร่วมกัน หากฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนทันที โดยไม่สามารถปฏิเสธได้
❌ ส่งผลต่อเครดิตของทั้งสองฝ่าย หากผิดนัดชำระเงิน แม้เพียงครั้งเดียว จะถูกบันทึกในเครดิตบูโรของทั้งคู่
❌ อาจกระทบความสัมพันธ์ เช่น หากคู่ชีวิตเลิกรากันในอนาคต อาจเกิดปัญหาเรื่องการแบ่งกรรมสิทธิ์และความรับผิดชอบในการผ่อนต่อ
❌ ไม่สามารถแยกสิทธิ์ครอบครองง่ายๆ จำเป็นต้องทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ใช่คู่สมรสที่จดทะเบียน เพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต

ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจกู้ร่วม
– ตรวจสอบเครดิตบูโร ของทั้งสองฝ่ายก่อนยื่นกู้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีประวัติค้างชำระหรือหนี้เสีย
– ตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์และภาระหน้าที่ให้ชัดเจน เช่น สัดส่วนการเป็นเจ้าของบ้าน, ใครเป็นผู้ผ่อนหลัก และแนวทางหากฝ่ายหนึ่งเลิกผ่อน
– ทำข้อตกลงร่วมเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น MOU ระหว่างคู่สมรส หรือผู้ร่วมกู้ที่ไม่จดทะเบียนสมรส เพื่อเป็นหลักฐานกรณีมีข้อพิพาท
– ศึกษาภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ฯลฯ ซึ่งต้องแบ่งกันรับผิดชอบ
การกู้ร่วมซื้อบ้าน เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการมีบ้านของตัวเอง หรือขยายวงเงินให้เพียงพอกับบ้านในฝัน อย่างไรก็ตาม การร่วมกู้คือการผูกพันทางกฎหมายในระยะยาว จำเป็นต้องมีความเชื่อมั่นในผู้ร่วมกู้ มีแผนการเงินที่มั่นคง และวางระบบการรับผิดชอบร่วมกันอย่างรัดกุม ก่อนตัดสินใจกู้ร่วม ควรปรึกษาธนาคาร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อเพื่อวางแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ
จะดีกว่าไหมถ้าเราไม่ต้องกังวลก่อนหลับว่าจะมาทำงานไม่ทัน แต่มีที่พักใกล้ที่ทำงาน อย่าง ฟินน์คอนโด ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปวนหาที่จอดรถ ไม่ต้องเสียเวลากับการใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนนานๆ แม้งานจะยุ่งแค่ไหนก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีเพื่อกลับถึงที่พักเพื่อพักผ่อน ซึ่งการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพเริ่มต้นด้วยการนอนหลับอย่างมีคุณภาพครับ