ทำความรู้จักกับ Sick Building Syndrome หรือ โรคตึกเป็นพิษ คืออะไร
หลายท่านอาจมีความรู้สึกไม่สบายคล้ายหวัดหรือภูมิแพ้เมื่ออยู่ในอาคาร แต่เมื่อออกมาภายนอกกลับรู้สึกดีขึ้น เมื่อไปพบแพทย์ก็ไม่พบอาการอะไร วันนี้ เราจะมาแนะนำอาการที่เรียกว่า Sick Building Syndrome (SBS) ซึ่งเป็นภาวะความเจ็บป่วยที่เชื่อว่าอาจเกิดจากการทำงานภายในอาคารและสถานที่ปิด ซึ่งยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร อาการของภาวะนี้ค่อนข้างกว้างและอาจดูคล้ายโรคอื่น ทำให้การตรวจวินิจฉัยทำได้ยาก โดยผู้ป่วยอาจมีอาการเกิดขึ้นในห้องใดห้องหนึ่งหรือกินบริเวณกว้างทั้งอาคารก็ได้ อาการที่พบมักเป็นภาวะผิดปกติด้านสุขภาพทางตา จมูก ลำคอ การหายใจส่วนล่าง ผิวหนังและอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นคล้ายกันในกลุ่มคนที่อยู่ในบ้าน โดยไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่นอนได้
อาการ
อาการของ Sick Building Syndrome ที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง หรือระบบประสาทก็ได้ และมักทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคอื่น เช่น หวัด หรือภูมิแพ้ วิธีสังเกตเบื้องต้นให้ดูว่าอาการต่อไปนี้ดีขึ้นหรือหายไปเมื่อออกจากอาคารหรือไม่ และมีอาการอย่างไรเมื่อกลับไปอยู่ภายในอาคารอีกครั้ง
-
- ปวดหรือวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- ระคายเคืองตา ตาแห้ง
- เจ็บคอ ระคายเคืองคอ ไอ
- หายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังหวีด
- ผิวหนังแห้ง คัน มีผื่นขึ้น
- อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิทำงาน สมองล้า
- มีไข้ หนาวสั่น
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
นอกจากนี้ อาการของ Sick Building Syndrome อาจรุนแรงขึ้นได้หากเกิดขึ้นพร้อมกับอาการภูมิแพ้หรือโรคทางระบบทางเดินหายใจ และอาจส่งผลให้อาการของโรคอื่นกำเริบได้เช่นกัน นอกจากนี้
สาเหตุ
- การถ่ายเทอากาศที่ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของมลพิษ ฝุ่นควัน สารพิษ และเชื้อโรคต่างๆ ในระดับที่ส่งผลต่อสุขภาพ
- มลพิษจากภายนอก เช่น ฝุ่น ผง ควันบุหรี่ หรือควันจากรถยนต์ที่ลอยเข้ามาในอาคาร
- มลพิษ สารพิษ และสารเคมีต่างๆ จากภายในอาคาร ได้แก่
- เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรียที่สะสม
- ควันบุหรี่ ควันจากเตาอาหาร
- น้ำยาทำความสะอาด สีทาผนัง และสารฟอร์มาลดีไฮด์ในพื้นหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้
- แร่ใยหินที่ใช้เป็นส่วนประกอบของวัสดุต่างๆ ภายในอาคาร เช่น กระเบื้อง ท่อน้ำประปา ท่อซีเมนต์
- ก๊าซเรดอนที่เป็นสารกัมมันตรังสีที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และอาจสะสมอยู่ในบ้านที่ไม่มีการระบายอากาศ
- ความสว่างภายในอาคาร เช่น แสงไฟที่สว่างจ้าหรือมืดเกินไป ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น รวมถึงความชัดและความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่สบายตา
- ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น
- อุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นเกินไป และระดับความชื้นในอากาศที่ต่ำ
- มีเสียงรอบข้างดังเกินไป
- มีแมลงหรือมูลของเสียจากสัตว์ เช่น หนู จิ้งจก เป็นต้น
แนวทางแก้ไข
-
- ลดปริมาณมลภาวะทางอากาศ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีต้นกำเนิดของไอระเหยที่เป็นพิษให้น้อยที่สุด (ค่า VOCs ต่ำ) เช่น ใช้สีทาผนังแบบที่ไม่มีโลหะหนักผสม
- ทำความสะอาดบ้าน เครื่องเรือน ดูดฝุ่นตามพรม หรือซักผ้าม่านให้บ่อยขึ้น เพื่อไม่ให้มีไรฝุ่นเกาะสะสม
- ลดภาวะเสียงรบกวนเสียงที่ดังเกิน 85 เดซิเบล ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อหู การออกแบบให้ผนังบ้านมีความหนามากกว่าปกติ จะช่วยป้องกันเสียงรบกวนภายนอกได้
- หลีกเลี่ยงการตากผ้าเปียกในบ้าน ไม่ควรทิ้งขยะค้างคืนไว้ในบ้าน เพราะเป็นแหล่งอาหารของแมลงสาบ เชื้อรา
- หาต้นไม้ในร่มมาปลูก ตั้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ในห้อง เพื่อช่วยฟอกอากาศ
- หากไม่มีเครื่องปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างและใช้พัดลมเป่าเพื่อเพิ่มการระบายอากาศ
- เปลี่ยนหรือทำความสะอาดฟิลเตอร์เครื่องปรับอากาศทุก 2-3 เดือน
- ใช้เครื่องกรองอากาศเพื่อลดฝุ่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และสิ่งสกปรกภายในห้อง
- ปรับแสงไฟภายในอาคารให้สว่างพอดี ปรับแสงหน้าจอให้สบายตา และอัปเกรดจอแสดงผลต่างๆ ให้สามารถมองได้โดยไม่ต้องเพ่งสายตา
- พยายามผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการหรือมีอาการแย่ลงได้
- หมั่นพักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยมองออกไปไกลๆ ประมาณ 20 วินาที ทุกๆ 20 นาที และอย่าลืมกระพริบตาบ่อยๆ
- หาโอกาสออกไปสูดอากาศข้างนอก เช่น ช่วงพักกลางวัน พักเบรค หรือระหว่างไปเข้าห้องน้ำ
- ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายหรือทำท่ากายบริหารง่ายๆ เพื่อคลายความเมื่อยล้าที่อาจเกิดจากการนั่งนานเกินไป
หากปรับตามนี้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นก็ถึงเวลาที่ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด โดยหากไม่ได้เกิดจากโรคอื่น แพทย์อาจตรวจว่าอาการที่เกิดขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมการทำงานหรือไม่
ที่มา : https://www.tosh.or.th/index.php/blog/item/938-sick-building-syndrome-sbs