เสียงรบกวนจากการจราจรส่งผลต่อร่างกายจริงหรือ
ในยุคปัจจุบันที่เมืองใหญ่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การใช้ชีวิตในเขตเมืองที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเสียงรบกวนจากถนน เช่น เสียงรถยนต์ การก่อสร้าง หรือแม้แต่เสียงแตรรถที่ดังอยู่ตลอดเวลา แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเสียงเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ต่อความรู้สึกไม่สบายเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพและการนอนหลับได้อย่างมากมายอีกด้วย
เสียงรบกวนและการนอนหลับ
การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ เสียงรบกวนริมถนนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การนอนหลับขาดคุณภาพ งานวิจัยจาก European Heart Journal ระบุว่าเสียงรบกวนที่มีระดับเดซิเบลเกิน 40 เดซิเบลในเวลากลางคืนสามารถรบกวนการนอนหลับได้โดยไม่รู้ตัว ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ถนนสายหลักหรือเขตก่อสร้างมักพบปัญหานอนหลับไม่สนิท ตื่นบ่อย และรู้สึกเหนื่อยล้าหลังตื่นนอน
ในกระบวนการนอนหลับ ร่างกายจะเข้าสู่ “วงจรการนอนหลับ” ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะหลับตื้น (NREM 1 และ 2) ระยะหลับลึก (NREM 3) และระยะหลับฝัน (REM) เสียงรบกวนที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนสามารถขัดจังหวะวงจรนี้ โดยเฉพาะในระยะหลับลึกและระยะหลับฝันที่ร่างกายและสมองต้องการการพักผ่อนมากที่สุด
ผลกระทบทางสุขภาพ
เสียงรบกวนไม่ได้ส่งผลเสียเฉพาะการนอนหลับ แต่ยังมีผลต่อสุขภาพในระยะยาวด้วย งานวิจัยจาก World Health Organization (WHO) ชี้ให้เห็นว่าเสียงรบกวนริมถนนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคต่าง ๆ เช่น
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เสียงรบกวนทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล และอะดรีนาลินเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความดันโลหิตสูงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคเรื้อรัง
- สุขภาพจิต ซึ่งการนอนหลับไม่เพียงพอสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความเครียดสะสม
ผลกระทบต่อสมรรถภาพการทำงาน
การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพยังส่งผลต่อความสามารถในการทำงานและการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน งานวิจัยจาก National Sleep Foundation ระบุว่าการอดนอนหรือนอนหลับไม่สนิทเพียงคืนเดียวสามารถลดประสิทธิภาพการทำงานของสมองในด้านความจำและสมาธิลงได้ถึง 20-30% นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุบนท้องถนนหรือในที่ทำงาน
วิธีลดผลกระทบจากเสียงรบกวน
แม้ว่าเสียงรบกวนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในสภาพแวดล้อมเมือง แต่เราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อการนอนหลับได้ เช่น
- ใช้เครื่องกำจัดเสียงรบกวนด้วยการสร้าง Negative feedback เครื่องนี้ช่วยสร้างเสียงที่สมดุลเพื่อกลบเสียงรบกวนภายนอกได้ในระดับหนึ่ง
- ติดตั้งฉนวนกันเสียง การใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติกันเสียงสามารถลดระดับเดซิเบลของเสียงที่เข้ามาในห้องนอนได้
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน: สารเหล่านี้อาจเพิ่มความไวต่อเสียงรบกวนและทำให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ
- เลือกที่อยู่ที่ค่อนข้างห่างจากถนนใหญ่ อาจยอมเสียเวลาเดินทางบ้างแลกกับการพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ
ที่มา
เสียงรบกวนที่มีระดับเดซิเบลเกินกว่า 50 dBA ในช่วงเวลานอนหลับสามารถรบกวนการนอนหลับได้ ทำให้คุณภาพการนอนลดลง ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลียและมีปัญหาในการทำงานในวันถัดไป
https://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/bitstream/123456789/1950/1/59311306.pdf
การสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดความเครียด ปวดศีรษะ หรือเวียนศีรษะ และอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อการสื่อสารและประสิทธิภาพในการทำงาน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/article/download/249333/169704/971312
ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด: การได้รับเสียงรบกวนที่ระดับสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากเสียงดังทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
https://www.pcd.go.th/wp-content/uploads/2020/06/pcdnew-2020-06-16_04-49-03_385792.pdf
เสียงดังในที่ทำงานสามารถลดสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงรบกวนการสื่อสารกับผู้อื่น ทำให้เกิดความเครียดและความไม่พอใจ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/article/download/249333/169704/971312
จะดีกว่าไหมถ้าเราไม่ต้องกังวลก่อนหลับว่าจะมาทำงานไม่ทัน แม้วันฝนตก การมีที่พักใกล้ที่ทำงาน อย่าง ฟินน์คอนโด ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปวนหาที่จอดรถ ไม่ต้องเสียเวลากับการใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนนาน ๆ แม้งานจะยุ่งแค่ไหนก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีเพื่อกลับถึงที่พักเพื่อพักผ่อน และไม่มีเสียงรบกวนจากท้องถนน ซึ่งการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพเริ่มต้นด้วยการนอนหลับอย่างมีคุณภาพครับ