1.เช็คให้ดีว่าห้องที่เราซื้อนั้น มีอะไรในห้องบ้างแล้ว
‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎ข้อนี้ต้องกลับไปเปิดสัญญาจะซื้อจะขาย ดูรายละเอียดกันอีกซักรอบว่าในนั้นมีรายละเอียดอะไรบ้าง เฟอร์นิเจอร์อะไรบ้าง เช่น ชุดเคาท์เตอร์ครัว ตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า ฯลฯ เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว เช่น เตียง โต๊ะทำงาน โต๊ะทานข้าว ฯลฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่นน้ำร้อน ฯลฯ เพื่อช่วยตัดทอนว่าเราไม่จำเป็นต้องซื้อสิ่งใดแล้ว และสิ่งใดยังจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม และควรทราบล่วงหน้าว่าเราจะโอนห้องนี้เมื่อไหร่ เพราะ ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการวางแผนค่าใช้จ่ายนั่นเอง ค่าใช้จ่าย ณ วันโอนฯ และยังต้องเตรียมซื้อข้าวของ ค่าขนย้าย และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าไม่วางแผนการเงินดีๆ อาจทำให้สถานะการเงินสะดุดได้

2.ทำ CHECK LIST สิ่งของ
‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎หลังจากรู้ว่าห้องที่เราจะย้ายเข้ามีอะไรบ้างแล้วแล้ว ลองมาทำ Check List แยกแยะเพิ่มอีกนิดดีกว่า แบ่งเป็น

สิ่งของที่มีอยู่แล้ว – อาจจะย้ายมาจากที่เก่า สามารถใช้ต่อได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว ฯลฯ
สิ่งของที่จำเป็นต้องซื้อ – จำเป็นต้องมีติดบ้าน เช่น ม่าน ฟูกที่นอน อุปกรณ์ทำความสะอาด กล่องยาสามัญ ตู้เย็น ฯลฯ
เอาไว้ก่อนก็ได้ – ส่วนใหญ่จะเป็นของตกแต่งเพิ่มความสวยงาม ค่อยๆ ทยอยซื้อได้ เช่น กรอบรูป ของสะสม ฯลฯ

‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎เมื่อทราบปริมาณสิ่งของที่ต้องใช้แล้วนั้น อย่าลืมคิดถึงการว่าจ้างรถขนของ ค่าน้ำมันสำหรับการขนย้ายด้วย ซึ่งผู้ให้บริการดีๆ ราคาไม่เบาเลย นอกจากนี้ของใช้บางอย่างที่คอนโดแถมให้และดีกว่าเก่า เช่น ตู้เย็น ก็อาจไม่ต้องขนมาอาจขายไปเพื่อลดของที่จะย้าย

3.วางแผนการใช้จ่าย
‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎เมื่อจัดหมวดหมู่สิ่งของจำเป็น สิ่งของใช้ซ้ำ สิ่งของตกแต่งได้แล้วนั้น ให้สำรวจสิ่งของที่ต้องซื้อเพิ่ม แน่นอนว่าต้องจัดสรรให้ค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์คอนโด ค่าย้ายของต่างๆ ให้ครบก่อน จึงค่อยจัดสรรเงินสำหรับตกแต่งห้องต่อส่วนเรื่องการซื้อของ แนะนำว่าให้ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งรีบช็อป ดูของให้ทั่วถึงจริงๆ ค่อยตัดสินใจซื้อ อย่างน้อยก็ไม่พลาดซื้อของแพงแล้วอาจไม่ตรงกับความต้องการจริงๆ และถ้าเรามีแผนตกแต่งโดยว่าจ้าง Interior Designer ออกแบบและตกแต่งให้แบบครบวงจร ควรเริ่มคุยที่ขั้นตอนนี้เลย เพื่อดูดีไซน์ และค่าใช้จ่ายต่างๆ

4.เตรียมสั่งของ
‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎เมื่อเราตัดสินใจเลือกสินค้า และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ ก็ถึงเวลาสั่งของเพื่อให้พร้อมสำหรับการเข้าพักอาศัยได้ทันทีที่เราโอนคอนโดเสร็จ เนื่องจากสิ่งของบางอย่างจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ โดยเฉพาะงานว่าจ้างตกแต่งห้องชุด ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มักจะต้องรอส่งจากคลัง 2-3 วัน

5.BIG CLEANING 
‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎ก่อนย้ายสิ่งของใดๆ เข้าคอนโดนั้น เราควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่โครงการทำความสะอาดฝุ่นหรือความสกปรกที่เกิดขึ้นจากการที่ช่างเก็บงานแก้ไขเมื่อครั้งที่เข้าตรวจสภาพห้องชุด และควรให้ทำความสะอาดทันทีหลังจากแก้ไขเสร็จ แล้วปิดห้องไว้เลยนะคะ หลังจากนั้น เมื่อเริ่มย้ายสิ่งของเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เข้าแล้ว ควรทำความสะอาดใหญ่อีกซักที เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกจากการขนย้ายก่อนเริ่มใช้งานจริง ถ้าหากเราไม่ต้องการทำความสะอาดเอง ให้ลองสอบถามโครงการว่ามีบริการแม่บ้านสำหรับลูกบ้านในคอนโด หรือว่าจ้างบริษัททำความสะอาดมาดำเนินการให้ก่อนเข้าพักอาศัยได้หรือไม่

6.ศึกษาคู่มือพักอาศัย และกฎระเบียบข้อบังคับของคอนโด
‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎หลังจากจัดการธุระจัดเก็บย้ายบ้านย้ายสิ่งของในห้องชุดของเราแล้ว อย่าลืมอ่านคู่มือที่พักอาศัยที่โครงการมอบให้ว่ามีเนื้อหา กฎเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติอะไรบ้าง และหากมีการขนสิ่งของขนาดใหญ่ ควรแจ้งนิติบุคคลให้รับทราบ เพื่อขออำนวยความสะดวกกับการใช้ลิฟต์ขนของ และหากมีการว่าจ้างบุคคลภายนอกเข้ามาตกแต่งห้อง ควรทำความเข้าใจและควรปฏิบัติตามกฎการตกแต่งห้องชุดอย่างยิ่ง เช่น ต้องยื่นแบบงานตกแต่งให้นิติบุคคลตรวจสอบว่า การตกแต่งที่ต้อง เจาะ ต่อเติม จะกระทบกับงานระบบหรือส่วนกลางใดๆ หรือไม่ รวมถึงกำหนดเวลาทำงาน ฯลฯ ซึ่งอาคารชุดเป็นพื้นที่พักอาศัยของสังคมส่วนรวม จึงทำความเข้าใจกับระเบียบต่างๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถพักอาศัยได้อย่างมีความสุขและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้านด้วย

‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎‏‏‎ ‎การย้ายเข้าคอนโดครั้งแรก ไม่ใช่เรื่องลำบากถ้าเราเตรียมตัวดีๆ รู้จักวางแผนอย่างเป็นระบบ ก็จะทำให้การย้ายเข้าสู่ที่พักใหม่เป็นไปได้อย่างราบรื่นและไม่เหนี่อยครับ